language :

เข่าเสื่อม

ปัญหา ข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) นับเป็นหนึ่งในความท้าทายทางสุขภาพที่สำคัญ และส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนไม่น้อย จากข้อมูลทางสถิติพบว่าภาวะ เข่าเสื่อม เป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเข่าเรื้อรังและความพิการในผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มพบผู้ป่วยในกลุ่มอายุน้อยลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ภาวะนี้ไม่ได้สร้างเพียงความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ยังจำกัดความสามารถในการเคลื่อนไหว การประกอบกิจวัตรประจำวัน การทำงาน และการเข้าสังคม ทำให้ผู้ป่วยหลายรายรู้สึกท้อแท้และคุณภาพชีวิตโดยรวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด

การที่เรารู้เท่าทันอาการ ข้อเข่าเสื่อม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นก้าวแรกในการรับมือกับโรคอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงแนวทาง การรักษาข้อเข่าเสื่อม อย่างได้ผลและปลอดภัย

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? ทำความเข้าใจต้นตอของอาการปวดเข่า

โรคข้อเข่าเสื่อม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ข้อเข่าเสื่อม หรือ เข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือ ภาวะความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับข้อเข่า โดยมีลักษณะสำคัญคือการเสื่อมสภาพและการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ (Articular Cartilage) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อสำคัญที่ปกคลุมปลายกระดูกต้นขา (Femur) และกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) บริเวณข้อเข่า กระดูกอ่อนนี้ทำหน้าที่เหมือนเบาะรองรับแรงกระแทก ลดแรงเสียดทาน และช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อกระดูกอ่อนผิวข้อนี้ค่อยๆ สึกกร่อน บางลง และสูญเสียความยืดหยุ่นไป จะทำให้ปลายกระดูกเสียดสีกันโดยตรงขณะเคลื่อนไหว

นอกจากการเสื่อมของกระดูกอ่อนแล้ว โรคข้อเข่าเสื่อม ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอื่นๆ ภายในข้อเข่าด้วย เช่น การอักเสบของเยื่อบุข้อ (Synovitis) การเปลี่ยนแปลงของกระดูกใต้ผิวข้อ (Subchondral Bone Sclerosis and Cyst Formation) การเกิดกระดูกงอกบริเวณขอบข้อ (Osteophytes) หรือแม้กระทั่งการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า และการยึดตึงของเส้นเอ็นและแคปซูลหุ้มข้อ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้การทำงานของข้อเข่าผิดปกติไป

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด โรคข้อเข่าเสื่อม

ภาวะ ข้อเข่าเสื่อม ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนี้:

  • อายุที่เพิ่มขึ้น พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

  • การใช้งานข้อเข่าหนักหรือซ้ำๆ เช่น การนั่งยอง การเดินขึ้นลงบันไดบ่อย

  • น้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้ข้อเข่ารับน้ำหนักมากเกินไป

  • ประวัติการบาดเจ็บข้อเข่า เช่น ข้อเข่าหลุด หรือเส้นเอ็นฉีก

  • กรรมพันธุ์ หากครอบครัวมีประวัติโรคข้อเข่าเสื่อม ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น

การที่กระดูกอ่อนสึกหรอจะทำให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรง ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม เคลื่อนไหวลำบาก และหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลถึงขั้นเข่าผิดรูป

สัญญาณเตือน! อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังมีภาวะ ข้อเข่าเสื่อม

การ “รู้ทันอาการ” ข้อเข่าเสื่อม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้สามารถเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็ว ชะลอการดำเนินโรค และลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สัญญาณและอาการที่ควรสังเกต มีดังนี้:

  • อาการปวดเข่า (Knee Pain) เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและมักเป็นอาการแรกที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ ลักษณะอาการปวดที่สำคัญใน โรคข้อเข่าเสื่อม ได้แก่:

    • ปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือลงน้ำหนัก (Activity-related pain): เช่น ปวดขณะเดิน ขึ้นลงบันได ลุกจากเก้าอี้ หรือนั่งยองๆ อาการปวดมักจะดีขึ้นเมื่อได้พัก
    • ปวดตอนเช้าหลังตื่นนอน (Morning stiffness with pain): อาจมีอาการปวดร่วมกับข้อฝืดตึงหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากที่ไม่ได้เคลื่อนไหวข้อเข่าเป็นเวลานาน อาการมักจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อได้เริ่มขยับข้อไปสักพัก (โดยทั่วไปไม่เกิน 30 นาที)
    • ปวดตอนกลางคืน (Nocturnal pain): ในระยะที่โรครุนแรงขึ้น อาจมีอาการปวดเข่าในขณะพักหรือตอนกลางคืนจนรบกวนการนอนหลับ
    • อาการปวดอาจเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก และมักจะปวดมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อเข่าหนัก
  • อาการข้อฝืดตึง (Stiffness) ผู้ป่วย เข่าเสื่อม มักรู้สึกว่าข้อเข่าตึง ขยับได้ไม่คล่องเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ข้อเข่าอยู่ในท่าเดียวนานๆ เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังจากนั่งรถนานๆ เมื่อได้เริ่มขยับข้อ อาการฝืดตึงจะค่อยๆ ทุเลาลง

  • เสียงในข้อเข่า (Crepitus) ผู้ป่วยอาจได้ยินหรือรู้สึกถึงเสียงกรอบแกรบ เสียงลั่น หรือเสียงดังคล้ายกระดาษทรายถูกันในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว เช่น ขณะงอหรือเหยียดเข่า ซึ่งเกิดจากการเสียดสีของพื้นผิวข้อที่ไม่เรียบ

  • ข้อเข่าบวม (Swelling) หรือรู้สึกร้อนบริเวณข้อ อาจมีอาการบวมบริเวณข้อเข่า ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุข้อและการสะสมของน้ำในข้อ (Effusion) ในบางครั้งอาจคลำได้ว่าข้อเข่าอุ่นกว่าปกติ

  • การเคลื่อนไหวข้อเข่าได้ไม่เต็มที่ (Limited range of motion) ผู้ป่วยอาจไม่สามารถงอหรือเหยียดข้อเข่าได้สุดเหมือนเดิม ทำให้มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น นั่งพับเพียบ หรือเหยียดขาตรงได้ลำบาก

  • กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง หรือเข่าดูผิดรูป ในกรณีที่เป็น เข่าเสื่อม มาเป็นระยะเวลานานและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) อาจอ่อนแรงและลีบลงเนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้งาน หรืออาจสังเกตเห็นลักษณะข้อเข่าที่ผิดรูปไป เช่น เข่าโก่งเข้า (Varus deformity) หรือเข่าฉิ่งออก (Valgus deformity)

ผลกระทบของอาการเหล่านี้ต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

อาการต่างๆ ของ ข้อเข่าเสื่อม สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก เช่น ทำให้เดินได้ไม่ไกล ขึ้นลงบันไดลำบาก ลุกนั่งลำบาก ไม่สามารถทำงานบ้านหรืองานอดิเรกที่เคยทำได้ และอาจต้องพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยวได้

การวินิจฉัย “โรคข้อเข่าเสื่อม” ที่ถูกต้อง ขั้นตอนและวิธีการตรวจโดยแพทย์

เมื่อมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็น ข้อเข่าเสื่อม การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับระยะของโรคและความรุนแรงของอาการได้ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด

กระบวนการวินิจฉัยโดยแพทย์ โดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

  1. การซักประวัติอาการและปัจจัยเสี่ยง (Medical History Taking)
    แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการสอบถามประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการที่ผู้ป่วยประสบ เช่น ลักษณะอาการปวด (ปวดเมื่อใด ปวดแบบไหน ความรุนแรงของอาการปวด) อาการข้อฝืดตึง เสียงในข้อเข่า ข้อบวม หรือข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว แพทย์จะสอบถามถึงระยะเวลาที่มีอาการ กิจกรรมที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง รวมถึงผลกระทบของอาการต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
    นอกจากนี้ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ โรคข้อเข่าเสื่อม เช่น อายุ อาชีพ ลักษณะการทำงาน การออกกำลังกาย ประวัติการบาดเจ็บที่ข้อเข่าในอดีต น้ำหนักตัว ประวัติโรคข้อเข่าเสื่อมในครอบครัว และโรคประจำตัวอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง

  2. การตรวจร่างกายบริเวณข้อเข่า (Physical Examination)
    แพทย์จะทำการตรวจร่างกายบริเวณข้อเข่าอย่างละเอียด โดยเริ่มจากการสังเกตลักษณะภายนอกของข้อเข่า เช่น การบวม แดง หรือลักษณะข้อเข่าที่ผิดรูปไป จากนั้นจะทำการคลำบริเวณข้อเข่าเพื่อหาจุดกดเจ็บ ตรวจสอบอุณหภูมิของข้อ และคลำหาการมีน้ำในข้อ
    แพทย์จะประเมินพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่า (Range of Motion) ทั้งการงอและการเหยียดเข่า เพื่อดูว่ามีการจำกัดการเคลื่อนไหวหรือไม่ และมีอาการปวดขณะเคลื่อนไหวหรือไม่ รวมถึงการตรวจหาเสียงกรอบแกรบในข้อ (Crepitus)
    นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการทดสอบพิเศษบางอย่างเพื่อประเมินความมั่นคงของข้อเข่า (Stability) ตรวจสอบการทำงานของเส้นเอ็นและหมอนรองกระดูกเข่า และประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า

  3. การตรวจทางรังสีวิทยา (Radiological Investigations)

    • ภาพเอกซเรย์ (X-ray) เป็นการตรวจมาตรฐานที่สำคัญและมักทำเป็นอันดับแรกในการวินิจฉัย ข้อเข่าเสื่อม ภาพเอกซเรย์สามารถแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกระดูกภายในข้อเข่า เช่น ช่องว่างระหว่างข้อเข่าที่แคบลง (Joint space narrowing) ซึ่งบ่งบอกถึงการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ, การเกิดกระดูกงอกบริเวณขอบข้อ (Osteophytes), การหนาตัวของกระดูกใต้ผิวข้อ (Subchondral sclerosis) หรือการเกิดถุงน้ำในกระดูกใต้ผิวข้อ (Subchondral cysts) ภาพเอกซเรย์ยังช่วยประเมินความรุนแรงของ เข่าเสื่อม ได้ในระดับหนึ่ง
    • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan) การตรวจ MRI มักไม่ได้ทำเป็นประจำในผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม ทั่วไป แต่แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจในบางกรณี เช่น เมื่อต้องการประเมินรายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อนภายในข้อเข่าอย่างละเอียด เช่น สภาพของกระดูกอ่อนผิวข้อ หมอนรองกระดูกเข่า เส้นเอ็น หรือเยื่อบุข้อ หรือในกรณีที่การวินิจฉัยยังไม่ชัดเจนจากการตรวจเอกซเรย์ หรือสงสัยว่ามีพยาธิสภาพอื่นร่วมด้วย

โรคข้อเข่าเสื่อม

แนวทางการรักษา “ข้อเข่าเสื่อม” อย่างมีประสิทธิภาพ: เลือกวิธีไหนให้เหมาะกับคุณ?

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคข้อเข่าเสื่อม แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการรักษา ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ เพื่อลดอาการปวด, ปรับปรุงหรือฟื้นฟูการทำงานของข้อเข่าให้สามารถใช้งานได้ดีขึ้น, เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และชะลอการดำเนินโรคหรือความเสื่อมของข้อให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แนวทางการรักษา ข้อเข่าเสื่อม มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การรักษาแบบประคับประคองไปจนถึงการผ่าตัด การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค, อายุของผู้ป่วย, ระดับกิจกรรม, สภาพร่างกายโดยรวม, โรคประจำตัวอื่นๆ และที่สำคัญคือความต้องการและความคาดหวังของผู้ป่วยเอง โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำและร่วมตัดสินใจกับผู้ป่วย

การรักษาแบบไม่ใช้ยา (Non-pharmacological treatment)

เป็นแนวทางการรักษาหลักและมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตนเอง

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Modification)
    • การลดน้ำหนัก: สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ การลดน้ำหนักลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเข่าและลดอาการปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ
    • การหลีกเลี่ยงท่าทางหรือกิจกรรมที่ทำให้ปวดเข่า เช่น การนั่งยองๆ คุกเข่า นั่งพับเพียบ การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรือการยกของหนัก ควรปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้เหมาะสม
    • การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม สวมรองเท้าที่มีพื้นนุ่ม รองรับแรงกระแทกได้ดี และมีความมั่นคง
  • การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้มีภาวะ เข่าเสื่อม (Exercise Therapy) การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษา ข้อเข่าเสื่อม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อ และลดอาการปวดได้
  • กายภาพบำบัด (Physiotherapy) นักกายภาพบำบัดจะช่วยประเมินและออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย รวมถึงอาจมีการใช้วิธีการทางกายภาพบำบัดอื่นๆ เช่น การประคบร้อน/เย็น การใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ หรือการกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อช่วยลดปวดและลดการอักเสบ
  • การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง (Assistive Devices)
    • ไม้เท้า (Cane) หรืออุปกรณ์ช่วยเดิน (Walker) ช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเข่าข้างที่มีอาการ และช่วยในการทรงตัว
    • สนับเข่า (Knee Brace/Support) อาจช่วยเพิ่มความมั่นคงให้ข้อเข่าและลดอาการปวดในผู้ป่วยบางราย

การรักษาด้วยยา (Pharmacological treatment)

การใช้ยาจะพิจารณาเมื่อการรักษาแบบไม่ใช้ยาไม่สามารถควบคุมอาการได้ดีพอ หรือใช้ควบคู่กันไป:

  • ยาลดปวดและยาต้านการอักเสบ
    • ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นยาลดปวดตัวแรกที่มักแนะนำ เนื่องจากค่อนข้างปลอดภัย
    • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ทั้งชนิดรับประทาน (เช่น Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac) และชนิดทาภายนอก (Topical NSAIDs) ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบได้ดี แต่การใช้ยาชนิดรับประทานในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และหัวใจและหลอดเลือด จึงควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
    • ยาเสริมอื่นๆ เช่น ยา Duloxetine (ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด) อาจช่วยลดอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม บางราย
  • ยาฉีดเข้าข้อเข่า (Intra-articular Injections)
    • สเตียรอยด์ (Corticosteroids) การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อเข่าสามารถช่วยลดอาการปวดและการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลการรักษาอาจอยู่ได้ไม่นาน (ประมาณ 2-3 เดือน) และไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป เนื่องจากอาจมีผลเสียต่อกระดูกอ่อนในระยะยาว
    • น้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม (Hyaluronic Acid Viscosupplementation) เป็นการฉีดสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายน้ำไขข้อตามธรรมชาติเข้าไปในข้อเข่า เพื่อช่วยหล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน และลดอาการปวด อาจต้องฉีดหลายครั้ง และผลการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

การรักษาอื่นๆ และนวัตกรรม

  • การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma – PRP) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกเอาส่วนที่เป็นเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งมีสารช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Factors) แล้วฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่า เพื่อหวังผลในการลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ผลการรักษายังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม และยังไม่ถือเป็นการรักษามาตรฐานสำหรับ โรคข้อเข่าเสื่อม ทุกราย
  • การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell Therapy) เป็นการนำสเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) จากแหล่งต่างๆ เช่น ไขกระดูก หรือไขมันของผู้ป่วย มาเพาะเลี้ยงแล้วฉีดเข้าข้อเข่า โดยหวังผลในการฟื้นฟูสภาพกระดูกอ่อน ยังเป็นการรักษาที่อยู่ในขั้นตอนการวิจัยและมีค่าใช้จ่ายสูง ผลลัพธ์และความปลอดภัยในระยะยาวยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม

การผ่าตัด (Surgical Treatment)

การผ่าตัดจะพิจารณาในผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม ที่มีอาการรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ หรือมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก การผ่าตัดที่อาจพิจารณา ได้แก่

  • การผ่าตัดส่องกล้องล้างข้อ (Arthroscopic Lavage and Debridement) เป็นการผ่าตัดแผลเล็กเพื่อเข้าไปทำความสะอาดเศษกระดูกอ่อนที่หลุดลอยอยู่ในข้อ หรือตัดแต่งส่วนที่ขรุขระ อาจช่วยลดอาการปวดได้ชั่วคราวในผู้ป่วยบางราย แต่ไม่ได้ช่วยรักษาความเสื่อมของข้อโดยตรง
  • การผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก (Osteotomy) เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับแนวแกนของกระดูกขา เพื่อช่วยกระจายแรงกระทำต่อข้อเข่าให้สม่ำเสมอขึ้น มักทำในผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีภาวะเข่าโก่งร่วมด้วย
  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Knee Arthroplasty/Replacement) เป็นการผ่าตัดเพื่อเอาส่วนของผิวข้อที่เสื่อมสภาพออกไป และแทนที่ด้วยข้อเข่าเทียมที่ทำจากโลหะและพลาสติกชนิดพิเศษ เป็นการรักษาที่ได้ผลดีมากในการลดอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานของข้อในผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อม ระยะรุนแรง

การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดนั้น ควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย โดยพิจารณาจากข้อมูลรอบด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ตรงจุดและเกิดประโยชน์สูงสุด

ข้อเข่าเสื่อม ไม่ใช่โรคที่ควรมองข้าม แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในทุกด้าน ตั้งแต่การเดิน เคลื่อนไหว ไปจนถึงการทำงานหรือพักผ่อน การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่นๆ และรับการรักษาอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถชะลอความเสื่อม บรรเทาอาการ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

อย่ารอให้อาการลุกลาม หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการปวดเข่าบ่อยๆ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่วันนี้

 

บทความนี้ได้รับการตรวจสอบโดยแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา

ข่าวประชาสัมพันธ์

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง