รักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำได้จริงไหม?
คำถามสุดฮิตของผู้ที่เริ่มมีปัญหาสายตาพร่ามัว หรือเพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ต้อกระจก “จำเป็นต้องผ่า ต้อกระจก เสมอไปหรือไม่?” หลายคนอาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ็บปวด ระยะเวลาพักฟื้น หรือค่าใช้จ่าย ทำให้หลายคนพยายามมองหาทางเลือกอื่น ด้วยความหวังว่าจะมีวิธีการ รักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจความเป็นไปได้ของแนวทางดังกล่าว รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต้อกระจก อาการเริ่มต้นที่ควรสังเกต และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจและดูแลดวงตาคู่สำคัญได้อย่างเหมาะสมที่สุด
ต้อกระจกคืออะไร? อาการเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม
ต้อกระจก (Cataract) คือภาวะที่เลนส์แก้วตา (Lens) ซึ่งปกติมีลักษณะใส เกิดการเปลี่ยนแปลงจนขุ่นมัวลง ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้เต็มที่ ส่งผลให้การมองเห็นแย่ลง เปรียบเสมือนการมองผ่านกระจกฝ้าหรือหมอกควันบางๆ พัฒนาการของโรค ต้อกระจก มักเป็นไปอย่างช้าๆ อาจใช้เวลาหลายปีจนกว่าจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างชัดเจน
ต้อกระจก อาการเริ่มต้น ที่พบบ่อยและไม่ควรมองข้าม ได้แก่
- ตามัวลงอย่างช้าๆ: เป็นอาการหลัก มองเห็นไม่คมชัดเหมือนเดิม โดยเฉพาะในที่แสงสว่างน้อย หรือในช่วงพลบค่ำ
- มองเห็นในที่แสงจ้าได้ไม่ดี: รู้สึกตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ หรือเห็นแสงไฟแตกกระจายเป็นแฉกๆ โดยเฉพาะเวลาขับรถตอนกลางคืน
- เห็นภาพซ้อน (ในตาข้างเดียว): เมื่อมองวัตถุหนึ่งชิ้น อาจเห็นเป็นสองหรือสามภาพซ้อนกันในตาข้างที่เป็นต้อกระจก
- สีเพี้ยนหรือซีดจาง: มองเห็นสีสันต่างๆ ดูจืดจางลง ไม่สดใสเหมือนเคย
- ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย: ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะสายตาสั้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในผู้สูงอายุ หรือสายตายาวลดลงจนอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น (Second sight) ซึ่งเป็นอาการชั่วคราวก่อนที่สายตาจะมัวลงอีก
- ต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมต่างๆ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อกระจก
- อายุ: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุด โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- การใช้ยาสเตียรอยด์: ทั้งชนิดรับประทาน ฉีด หรือหยอดตาเป็นเวลานาน
- โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- การได้รับรังสียูวี (UV) จากแสงแดดเป็นเวลานาน โดยไม่มีการป้องกัน
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จัด
- อุบัติเหตุที่ดวงตา หรือเคยผ่าตัดตามาก่อน
- พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อกระจกก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ต้อกระจกอันตรายไหม ถ้าไม่รีบรักษา?
โดยทั่วไปแล้วต้อกระจก ไม่ใช่ภาวะที่คุกคามถึงชีวิตโดยตรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการมองเห็นอย่างมาก อาทิ
- การมองเห็นแย่ลงเรื่อยๆ: ความขุ่นมัวของเลนส์จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้การมองเห็นลดลงจนอาจถึงขั้นมองเห็นเพียงแสงสลัวๆ ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ขับรถ หรือทำงาน
- เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ: การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนเพิ่มความเสี่ยงในการหกล้ม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรืออุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะ
- อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน: ในกรณีที่ต้อกระจกสุกเต็มที่และทิ้งไว้นานเกินไป (Hypermature cataract) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบในลูกตา (Phacolytic uveitis) หรือโรคต้อหินเฉียบพลัน (Phacomorphic glaucoma) จากการที่เลนส์บวมจนไปอุดกั้นการระบายน้ำในลูกตา ซึ่งภาวะเหล่านี้หากเกิดขึ้นอาจรุนแรงถึงขั้น เสี่ยงสูญเสียการมองเห็นถาวรจริงหรือไม่ คำตอบคือ มีความเป็นไปได้สูงหากเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- ยากต่อการตรวจหาโรคตาอื่นๆ: เมื่อเลนส์ขุ่นมาก จักษุแพทย์จะตรวจดูจอประสาทตาและส่วนอื่นๆ ด้านหลังเลนส์ได้ยาก ทำให้การวินิจฉัยโรคตาอื่นๆ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม หรือต้อหินบางชนิด เป็นไปได้ยากขึ้น
แม้ว่าอาการต้อกระจก อาจไม่ทำให้ตาบอดในทันที แต่การปล่อยทิ้งไว้จนสุกงอมเกินไปย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี และเพิ่มความยุ่งยากในการรักษา
รักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัดได้หรือไม่?
อาการ ต้อกระจกสามารถรักษาได้ 2 แนวทางคือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด และการผ่าตัด ซึ่งแนวทางที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายนั้นขึ้นอยู่กับระยะของโรค รวมถึงการประเมินของจักษุแพทย์อย่างละเอียด การรักษาแบบไม่ผ่าตัดมักใช้ในระยะเริ่มต้น โดยอาศัยการหยอดตาด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหรือการปรับพฤติกรรม เช่น การใส่แว่นกันแดดเพื่อลดแสงสะท้อน ซึ่งสามารถช่วยชะลอการลุกลามของโรคได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาด จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำจากจักษุแพทย์อย่างใกล้ชิด
ส่วนในกรณีที่ต้อกระจกรบกวนการมองเห็นมากหรืออยู่ในระยะที่รุนแรงขึ้น การรักษาแบบผ่าตัดจะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการผ่าตัดต้อกระจก (Cataract Surgery) คือการนำเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ ซึ่งช่วยฟื้นฟูการมองเห็นและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้การเลือกวิธีรักษาใด ๆ ควรอยู่บนพื้นฐานของการวินิจฉัยที่แม่นยำและการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสำคัญ
ใครเหมาะกับการรักษาแบบไม่ผ่าตัด และเมื่อไหร่ควรพบจักษุแพทย์?
แนวทางการดูแลแบบไม่ผ่าตัดอาจเหมาะสมกับบุคคลบางกลุ่ม หรือในบางระยะของโรค:
- ผู้ที่อยู่ในระยะเริ่มต้นของต้อกระจก: หากต้อกระจก ยังเป็นน้อย และยังไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวันมากนัก จักษุแพทย์อาจแนะนำให้สังเกตอาการ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อชะลอการลุกลาม เช่น การใช้แว่นสายตาที่เหมาะสม การใช้แว่นกันแดด หรือการใช้แสงสว่างช่วยในการอ่านหนังสือ
- ผู้ที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพที่ทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูง: ในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวรุนแรงซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด จักษุแพทย์อาจพิจารณาทางเลือกอื่นหรือพยายามประคับประคองการมองเห็นให้นานที่สุด อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการผ่าตัด ต้อกระจก ในปัจจุบันมีความปลอดภัยสูงมากและใช้เวลาไม่นาน
- ผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือไม่ต้องการผ่าตัดในขณะนั้น: หากผู้ป่วยยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การผ่าตัดอาจยังไม่จำเป็นในทันที แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์อย่างใกล้ชิด
สรุปแล้ว คำถามที่ว่าการ รักษาต้อกระจกโดยไม่ต้องผ่าตัด “มีอยู่จริง” หรือไม่นั้น คำตอบคือ “มีอยู่จริง” ในแง่ของการชะลอการลุกลามของโรคในระยะเริ่มต้น การป้องกันการเกิดโรค หรือการจัดการกับอาการเพื่อประคับประคองการมองเห็นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้ ยังไม่สามารถรักษาต้อกระจกที่เกิดขึ้นแล้วให้หายขาด หรือทำให้เลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวกลับมาใสได้เหมือนเดิม เมื่อ ต้อกระจกลุกลามจนส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน การผ่าตัดยังคงเป็นวิธีการรักษามาตรฐานและมีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน
สิ่งสำคัญคือการทำความรู้จักกับโรค ต้อกระจก อาการเริ่มต้น และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่าปล่อยปละละเลยหากสังเกตเห็นความผิดปกติในการมองเห็นของตนเองหรือคนใกล้ชิด ควรตระหนักว่า “ต้อกระจก อันตรายไหม” หากไม่ดูแล ก็อาจนำไปสู่ปัญหาการมองเห็นที่รุนแรงได้
ดังนั้น คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาวะและความต้องการของแต่ละบุคคล เพื่อให้ดวงตาของคุณสามารถมองเห็นโลกที่สดใสไปได้อีกนาน
บทความนี้ได้รับการตรวจสอบโดยแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา