กินพอดี…ไม่มีโรคเก๊าท์

โรคเกาต์ คืออะไร ?
เกาต์เป็นโรคที่เกิดจากการบริโภคอาหารบางชนิดมากเกินไป และมีการสะสมสารนั้นในร่างกาย เกาต์เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้
สาเหตุ และอาการ!
โรคเกาต์มีอาการปวดตามข้อชนิดหนึ่ง โดยที่ร่างกายมีกรดยูริก (Uric acid) มากเกินไป กรดยูริกเป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเองได้ และยังได้มาจากอาหารบางชนิดที่มีสารพิวรีน (Purine) สูงเมื่อกินเข้าไปจะถูกย่อยสลายกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งถ้ามีมากเกินไป กรดยูริกจะไปสะสมอยู่ตามข้อต่างๆ ของร่างกาย เช่นที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อจะบวมและเจ็บมาก

กินอย่างไรให้พอดี !
กินอย่างไรที่เรียกว่า “กินพอดี” ควรทบทวนตัวเองว่าเวลากินอาหาร กินอิ่มพอดีไหม ? กินจนอิ่ม ก้มตัวไม่ลงต้องนั่งตัวตรง กินจนเรอหรือเปล่า มาหาคำตอบกันว่ากินอย่างไรให้พอดีเพื่อป้องกันโรคเกาต์ ควรพิจารณาดังนี้
พลังงาน
จากอาหารที่กินต่อมื้อ และต่อวันควรให้นักโภชนาการโรคเกาต์ปริมาณพลังงานที่เหมาะกับร่างกายในแต่ละบุคคล รวมทั้งพลังงานที่ต้องใช้ในกิจกรรมต่างๆ สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรืออ้วน (BMI เกิน 30 กิโลกรัม /ตารางเมตรขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคอ้วนอันตราย) ควรจำกัดพลังงานให้น้อยลงเพื่อลดน้ำหนัก เพราะโรคอ้วนทำให้อาการของโรคเกาต์รุนแรงขึ้น แต่ไม่ควรอดอาหารเป็นอันขาด หรือลดพลังงานมากเกินไปซึ่งจะมีผลทำให้มีการสลายของไขมันในเนื้อเยื่อไขมันจะเป็นผลทำให้สารยูริกถูกขับออกจากร่างกายได้น้อยความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น พลังงานควรได้รับประมาณ 1,200-1,400 กิโลแคลอรี ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
เนื้อสัตว์ นม ไข่
ให้สารอาหารโปรตีนที่ดีแก่ร่างกาย ควรได้รับตามปกติ คือ 0.9-1 กรัม โปรตีนต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ควรระมัดระวัง เนื้อสัตว์บางชนิดที่ มี สารพิวรีนสูง, โปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ควรกินเนื้อสัตว์ ไม่ติดมัน (Lean meat)

ไขมัน
ให้พลังงานที่ดีแก่ร่างกายโดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์ ซึ่งจะไปเพิ่มให้มีการสะสมไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น การมีไขมันมากในร่างกาย นอกจากจะทำให้อ้วนแล้วอาจเป็นสาเหตุให้การขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้น้อยลง เมื่อลดน้ำหนักลงได้กรดยูริกก็ลดลงไปด้วย ควรใช้น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา ฯลฯ เพื่อให้ได้กรดไขมันที่ดีและจำเป็นสำหรับร่างกาย ปริมาณไขมันรวมที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ปริมาณร้อยละ 25 – 30 ของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน (หรือน้อยกว่าตามความ เหมาะสม)
ข้าวแป้ง และผลิตภัณฑ์จากข้าวแป้ง น้ำตาล
ซึ่งให้สารคาร์โบไฮเดรตแก่ร่างกาย เพื่อใช้เป็นพลังงานสารคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ในหนึ่งวันควรได้ปริมาณโดยรวมคือ ร้อยละ 50 – 55 ของพลังงาน ที่ต้องการต่อวัน ควรเป็นข้าวแป้งที่ขัดสีน้อยและลดปริมาณการกินน้ำตาล เพื่อลดน้ำหนัก และไม่ไปเพิ่มไตรกลีเซอไรด์

ผัก และผลไม้
ควรกินทุกมื้อและทุกวัน เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ รวมทั้งใยอาหารแก่ร่างกาย (ยกเว้นผักที่มีพิวรีนสูง) ผลไม้มีน้ำตาลผลไม้ ถ้ากินมากเกินกำหนด (นักโภชนาการ จะกำหนดให้) ก็จะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในร่างกายได้

อาหารที่ควรจำกัด หรืองดในภาวะของโรคที่รุนแรง อาหารที่มีพิวรีนสูงมากกว่า 150 มิลลิกรัม ในปริมาณอาหารที่กินได้น้ำหนัก 100 กรัม
- กลุ่มเนื้อสัตว์ และเครื่องใน : ตับไก่ กินไก่ หัวใจไก่ และเครื่องใน ไข่ปลา เซ้งจี้หมู ตับหมู ตับอ่อน ปลาอินทรี มันสมองวัว ปู ปีกไก่ – เป็ด ห่าน ปลาดุก ปลาไส้ตัน กุ้งชีแฮ้ ปลาหมึก น้ำสกัดจากเนื้อ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ซุปก้อน กะปิ ยีสต์ ฯลฯ
- กลุ่มถั่วเมล็ดแห้ง : ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง เมล็ดถั่วลันเตา ฯลฯ
- กลุ่มผัก : กระถิน ชะอม เห็ด สะตอ ผักโขม หน่อไม้ ข้าวโอ๊ต ใบขี้เหล็ก ฯลฯ
- ผู้เป็นโรคเกาต์ควรกินอาหารเหล่านี้ให้น้อยลงถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการของโรคแล้วก็ตาม
สรุปข้อควรปฏิบัติในการเลือกกินอาหาร
- ควรงดการกินอาหารที่มีพิวรีนสูงลงชั่วคราว ดื่มน้ำให้มาก 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยขับกรดยูริก และช่วยไม่ให้เกิดก้อนนิ่วในไต
- ควรงดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงซึ่งให้พลังงานมาก จะเกิดภาวะโรคอ้วนโดยเฉพาะอาหารทอดในน้ำมัน เช่น ปาท่องโก๋ กล้วยทอด ฯลฯ รวมทั้งขนมหวานที่มีน้ำตาลมาก ควรงดชั่วคราว หรือนานๆ ครั้ง
- ควรกินผักให้มากขึ้น กินผลไม้สดแทนขนมหวานและควรกินให้หลากหลายชนิดกับในหนึ่งวัน (ไม่ควรกินน้ำผลไม้ ผลไม้ปั่น ผลไม้กวน และดอง) เพื่อให้ได้ใยอาหารที่ดีช่วยลดน้ำหนัก
- ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้โรคเกาต์กำเริบ
- ควรออกกำลังกายทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อลดน้ำหนัก ถ้าในระยะโรคมีอาการปวดรุนแรงควรงดออกกำลังกายไว้ชั่วคราว
- ควรพบแพทย์เพื่อการรักษาด้วยยาตามความเหมาะสม




