ความดันโลหิตสูง เป็นมหันตภัยเงียบ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยขึ้น เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ไม่ค่อยมีอาการ จึงทำให้ผู้ป่วยไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญ ทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัยในระยะเริ่มแรก หรือไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง จนเกิดอาการรุนแรงขึ้น เช่น อัมพฤกษ์, อัมพาต, หัวใจวายเฉียบพลัน, ไตวาย เป็นต้น ความดันโลหิตสูงมักจะเกิดร่วมกับภาวะโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน, โรคไต, โรคหัวใจ, กลุ่มอาการอ้วนลงพุง ทำให้การดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูงต้องได้รับการดูแลรักษาในลักษณะองค์รวม รวมถึงการเลือกใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสมกับโรคต่างๆ ที่เป็นร่วม
ความดันโลหิตคืออะไร ความดันโลหิต เป็นแรงดันของโลหิตในหลอดเลือดแดง ซึ่งวัดเป็น 2 ค่า คือ
1. ความดันโลหิตตัวบน เป็นแรงดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว
2. ความดันโลหิตตัวล่าง เป็นแรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว
สาเหตุความดันโลหิตสูง แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. ไม่ทราบสาเหตุ พบได้ 90% ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงที่น่าจะเป็นสาเหตุ ได้แก่
1.1 กรรมพันธุ์
1.2 เชื้อชาติ
1.3 ความเครียด
1.4 ขาดการออกกำลังกาย
1.5 ความอ้วน
1.6 สูบบุหรี่
1.7 การดื่มสุรา
2. ทราบสาเหตุ พบได้ 10%
2.1 โรคไตเสื่อม, ไตวาย
2.2 เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต
2.3 มีพยาธิสภาพในสมอง
2.4 ภาวะตั้งครรภ์เป็นพิษ
2.5 ยาบางชนิด
ความดันโลหิตสูงมีอันตรายอย่างไรถ้าปล่อยให้ความดันโลหิตสูงเป็นอยู่นาน โดยไม่ได้รับการรักษาจะทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมสภาพ แข็งตัว, ตีบตัน หรือแตก ทำให้เกิดโรคกับอวัยวะต่างๆ เช่น
• หัวใจ เกิดกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว หัวใจโตขึ้น, เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, ภาวะ หัวใจล้มเหลว
• สมอง เกิดหลอดเลือดในสมองแตก, เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิต
• ไต เกิดภาวะไตวาย
• ตา ทำให้หลอดเลือดตาตีบ, แตก เกิดเลือดออกในตา ทำให้ตามัว ตามองไม่เห็นทั้งชั่วคราวและถาวรได้
ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง และไม่ได้รับการรักษาจะเสียชีวิตจาก
1. หัวใจวาย 60-70%
2. เส้นเลือดในสมองอุดตันหรือแตก 20-30%
3. เสียชีวิตจากไตวาย 5-10%
การรักษา
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การลดอาหารรสเค็ม ลดน้ำหนักตัว, งดสูบบุหรี่, หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายให้มากขึ้น, ลดความเครียด, นอนพักผ่อนให้พอเพียง
• การควบคุมน้ำหนักตัว
– โดยควบคุมดัชนีมวลกาย ( B.M.I )ไม่เกิน 23
– เส้นรอบวงระดับเอวในผู้ชายไทยไม่เกิน 90 ซม.
– เส้นรอบวงระดับเอวในผู้หญิงไทยไม่เกิน 80 ซม.
• การออกกำลังกาย
– เมื่อควบคุมความดันได้ดีแล้ว ควรออกกำลังอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อย
สัปดาห์ละ 5 วัน
• ลดอาหารเค็ม
– โดยการจำกัดโซเดียมในอาหาร ไม่ควรบริโภคโซเดียมมากกว่า 2,300 มก. ต่อวัน โดยประมาณว่า
เกลือแกง (โซเดียมคลอไรด์) 1 ช้อนชา (5 กรัม) มีโซเดียม 2,000 มก. น้ำปลา 1 ช้อนชา มีโซเดียมประมาน 350-500 มก.
2. การใช้ยา
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย ซึ่งอาจมีความดันเริ่มแรกแตกต่างกันมีโรคร่วมหรือปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน การใช้ยาจึงต้องเลือกให้เหมาะสมสำหรับแต่ละคน และในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องใช้ยามากกว่า 1 ชนิด เพื่อการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
นพ.สุทธิพงศ์ ทัศนียพันธุ์
อายุรแพทย์โรคหัวใจ